หลักสูตรรายวิชา (The Subject Curriculum)
เป็นหลักสูตรที่ใช้กันมาแต่ดั้งเดิมไม่เฉพาะแต่ในยุโรปหรือสหรัฐอเมริกาเท่านั้น
ประเทศในเอเชียรวมทั้งประเทศไทยก็ได้ใช้หลักสูตรแบบนี้มาแต่ต้น การที่เรียนกว่าหลักสูตรรายวิชาก็เนื่องจากโครงสร้างของเนื้อหาวิชาในหลักสูตร
จะถูกแยกออกจากกันเป็นรายวิชาโดยไม่จำเป็นต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกัน
ไม่ว่าในด้านเนื้อหาหรือการสอน
สำหรับเนื้อหาที่คัดมาถือว่าเป็นเนื้อหาที่สำคัญและจำเป็นต่อการเรียนรู้
หลักสูตรของไทยเราที่ยังเป็นหลักสูตรรายวิชา ได้แก่ หลักสูตรมัธยมและอุดมศึกษา
แต่มีการปรับปรุงโครงสร้าง โดยนำเอาระบบหน่วยกิตมาใช้ ซึ่งจะได้อธิบายในโอกาสต่อไป
1. ลักษณะสำคัญของหลักสูตร
1. จุดมุ่งหมายของหลักสูตร
มุ่งส่งเสริมพัฒนาการของผู้เรียนโดยใช้วิชาต่างๆ เป็นเครื่องมือ
ดังนั้นโครงสร้างของหลักสูตรจึงประกอบด้วยวิชาต่างๆ หลายวิชา
ซึ่งนักพัฒนาหลักสูตรคิดว่าจะสามารถส่งเสริมพัฒนาการตามที่ได้ดั่งจุดหมายไว้
2. จุดมุ่งหมายของหลักสูตร
อาจมีส่วนสัมพันธ์กับสังคมหรือไม่ก็ได้ และโดยทั่วไปหลักสูตรนี้ไม่คำนึงถึงผลที่เกิดแก่สังคมเท่าใดนัก
3. จุดประสงค์ของแต่ละวิชาในหลักสูตร
เน้นการถ่ายทอดเนื้อหาวิชาเพื่อให้ผู้เรียนมีความรู้และลักษณะในวิชานั้นๆ
เป็นสำคัญ
4. โครงสร้างของเนื้อหาวิชา ประกอบด้วยเนื้อหาของแต่ละวิชาที่เป็นเอกเทศไม่เกี่ยวข้องกับวิชาอื่น
และจะถูกจัดไว้อย่างมีระบบ เป็นขั้นตอน เพื่อสะดวกแก่การเรียนการสอน
5. กิจกรรมการเรียนการสอน เน้นเรื่องการถ่ายทอดความรู้
ด้วยการมุ่งให้ผู้เรียนจำเนื้อหาวิชา การส่งเสริมพัฒนาการในด้านอื่นๆ ถือว่าเป็นเรื่องกิจกรรมนอกหลักสูตร
หรือไม่ก็เป็นผลพวงจากการเรียนรู้เนื้อหาวิชา
6. การประเมินผลการเรียนรู้
มุ่งในเรื่องความรู้และทักษะในวิชาต่างๆ ที่ได้เรียนมา
2. ส่วนดีส่วนเสียของหลักสูตร
ก.ส่วนดี
1. จุดมุ่งหมายของหลักสูตรซึ่งเน้นเนื้อหาวิชา
ช่วยให้เนื้อหาวิชาเป็นไปโดยง่าย
2. เนื้อหาวิชาจะถูกจัดไว้ตามลำดับขั้นอย่างมีระบบ
เป็นการง่ายและทุ่นเวลาในการเรียนการสอน
3. การจัดเนื้อหาวิชาอย่างมีระบบ ทำให้การเรียนรู้เนื้อหาวิชาดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง
4.
การประเมินผลการเรียนทำได้ง่ายเพราะมุ่งประเมินความรู้ที่ได้รับเป็นสำคัญ
ข.ส่วนเสีย
1.
เนื่องจากจุดมุ่งหมายของหลักสูตรเน้นการถ่ายทอดความรู้ตามเนื้อหาที่กำหนดไว้ ดังนั้นจึงมักละเลยต่อสภาพและปัญหาของสังคมและท้องถิ่น
ทำให้เกิดการเรียนรู้ที่ไม่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในสังคมได้
2. การเน้นเนื้อหา
ทำให้ผู้เรียนไม่ได้รับการส่งเสริมพัฒนาการในด้านอารมณ์และสังคมเท่าที่ควร
นอกจากนี้การที่มุ่งให้จำเนื้อหา ทำให้ผู้เรียนไม่ได้รับการฝึกฝนเรื่องการคิดทักษะในการแก้ปัญหาและความคิดริเริ่มสร้างสรรค์จะหย่อนไป
3. หลักสูตรแบบนี้ทำให้ผู้สอนละเลยการเรียนรู้อื่นๆ
ที่เกิดขึ้นในระหว่างที่เรียนเนื้อหาการเรียนดังกล่าวเรียกว่า
การเรียนที่เป็นผลพวง (Concomitant Learning)
ซึ่งอาจเป็นประโยชน์หรือเป็นโทษแก่ผู้เรียนก็ได้
4. การที่หลักสูตรจัดแยกวิชาต่างๆ
ออกเป็นเอกเทศโดยไม่สัมพันธ์กันทำให้ทั้งผู้สอนและผู้เรียนมองไม่เห็นภาพรวมของสิ่งที่เรียน
อันจะนำไปสู่จุดหมายของหลักสูตรสิ่งที่มองเห็นก็คือจุดประสงค์ของแต่ละวิชา
ซึ่งกระจัดกระจายแยกกันเป็นอิสระ เป็นการสร้างทัศนะแคบๆ
ในด้านการเรียนรู้ซึ่งเท่ากับบั่นทอนความอยากรู้ไปในตัว
5.
ถึงแม้ว่าหลักสูตรแบบนี้จะมีการจัดโครงสร้างและลำดับของเนื้อหาอย่างมีระบบ
แต่ก็มักจะละเลยความสนใจของผู้เรียน ทั้งนี้ด้วยเหตุผลที่ว่า
การจัดเนื้อหานั้นจะยึดหลักเหตุผลในด้านเนื้อหาสาระของวิชาเกณฑ์โดยไม่คำนึงถึงหลักจิตวิทยาที่เกี่ยวข้องกับพัฒนาการและความต้องการของผู้เรียนแต่อย่างใด
ซึ่งเท่ากับการแยกความรู้และความสนใจออกจากกัน ดังนั้นการเรียนจึงไม่เกิดผลสูงสุด
เพราะผู้เรียนขาดความสนใจในสิ่งที่ผู้เรียนเรียนตั้งแต่ต้นแล้ว
6. กิจกรรมการเรียนการสอนตามหลักสูตรแบบนี้
จะจำกัดอยู่ในลักษณะที่ผู้สอนเป็นผู้ให้และผู้เรียนเป็นผู้รับ
ดังนั้นความสัมพันธ์ระหว่างผู้สอนและผู้เรียนมีแนวโน้มที่จะเบี่ยงเบนจากความเป็นประชาธิปไตยได้ง่าย
บรรยากาศในห้องเรียนมักจะมีความเคร่งเครียดและประสบการณ์ที่ผู้เรียนจะได้รับจะถูกจำกัดให้อยู่ในวงแคบ
ทำให้ผู้เรียนเกิดความเบื่อหน่ายต่อการเรียน
3. การปรับปรุงหลักสูตร
เนื่องจากหลักสูตรรายวิชามีข้อบกพร่องหลายประการดังกล่าวแล้วจึงได้มีการปรับปรุงแก้ไข
วิธีการที่ทำมี 2 วิธี คือ
1. จัดเรียงลำดับเนื้อหาให้ต่อเนื่องกัน (Articulation) คือ จัดเนื้อหาที่อยู่ในชั้นเดียวกันหรือระหว่างชั้น ให้ต่อเนื่องกัน
โดยรักษาความเป็นวิชาของแต่ละวิชาไว้ การจัดมีอยู่ 2 แบบ คือ
ก. จัดให้ต่อเนื่องตามแนวนอน (Horizontal Articulation) หมายถึง
การจัดเนื้อหาของวิชาหนึ่งให้สัมพันธ์หรือต่อเนื่องกับของอีกวิชาหนึ่ง
ซึ่งอยู่ในชั้นเดียวกัน เช่น
กำหนดเนื้อหาเรื่องปฏิภาคไว้ในวิชาคณิตศาสตร์เพื่อให้ผู้เรียนสามารถนำเอาความรู้ไปใช้ในการคำนวณในเรื่องกฎของก๊าซ
ซึ่งจัดไว้คู่ขนานกันในวิชาวิทยาศาสตร์
หรือจัดเนื้อหารายวิชาวรรณคดีไทยในกรุงศรีอยุธยา
ไว้คู่ขนานกับประวัติศาสตร์สมัยกรุงศรีอยุธยาในชั้นเดียวกัน
และให้เรียนในเวลาใกล้เคียงกันด้วย
ข. จัดให้ต่อเนื่องในแนวตั้ง (Vertical Articulation) หมายถึง การจัดเนื้อหาที่อยู่ต่างชั้นกัน คือ
ระหว่างชั้นต่ำกับชั้นสูงโดยทำให้เกิดความต่อเนื่องของวิชา
ตั้งแต่ชั้นประถมไปจนถึงชั้นมัธยมศึกษา และอาจถึงมหาวิทยาลัยด้วยก็ได้
ถ้าการจัดใช้หลักอย่างเดียวกันการจัดความต่อเนื่องของเนื้อหาวิชาตามแบบนี้จะจัดภายในหลักสูตรเดียวกัน
เช่น ระหว่างชั้น ป.1 ถึง ป.6 ในระดับประถมศึกษา
หรือระหว่างชั้น ป.6 ถึงชั้น ม.1
ของระดับมัธยมศึกษาหรือระหว่างมัธยมศึกษากับมหาวิทยาลัยก็ได้
หลักในการจัดทำนองเดียวกันกับการจัดลำดับเนื้อหาของแต่ละรายวิชา คือ
อาศัยหลักความจำเป็นก่อนหลัง ความยากง่ายของเนื้อหา
และหลักอื่นๆ ที่เห็นว่าสำคัญ
2.
จัดโดยการเชื่อมโยงเนื้อหาเข้าด้วยกัน (Coherence)
คือจัดเนื้อหาของแต่ละวิชาให้เชื่อมโยงกันในลักษณะที่ส่งเสริมซึ่งกันและกัน
ทำให้ผู้เรียนมีพัฒนาการที่ผสมกลมกลืนไม่มีอะไรที่ขัดแย้งกัน
การเชื่อมโยงโดยวิธีการดังกล่าวนี้ทำได้ 2 ระดับ คือ
ก. ระดับความคิด (Cognitive level)
จุดหมายของหลักสูตรข้อหนึ่งที่เราต่างก็ยอมรับกัน คือ
การพัฒนาความสามารถทางปัญญา อันได้แก่ความรู้ความเข้าใจ
ทักษะ เจตคติ ความพึงพอใจ ฯลฯ สิ่งต่างๆ
เหล่านี้ต่างมีความสัมพันธ์กัน กล่าวคือความสามารถอย่างหนึ่งจะส่งเสริมความสามารถอีกอย่างหนึ่ง
และผลสัมฤทธิ์ทางปัญญาทั้งหมดทุกด้านย่อมมีผลต่อการพัฒนาการทางบุคลิกภาพของบุคคลส่วนรวม
การจัดหลักสูตรตามหลักการเชื่อมโยงในระดับความคิดหมายถึงการจัดโดยให้เนื้อหาส่งผลให้ผู้เรียนมีความสามารถในด้านต่างๆ
ในลักษณะที่ผสมกลมกลืนกัน เป็นการจัดที่เชื่อมโยงการเรียนรู้กับการพัฒนาการของบุคคลเข้าด้วยกัน
เช่น จัดวิชาวรรณคดี
ไม่เพียงแต่ให้ผู้เรียนได้เรียนรู้เท่านั้นแต่ให้เกิดเจตคติที่ดีต่อวิชานั้นด้วยหรือให้การเรียนวิทยาศาสตร์ไม่เพียงแต่จะพัฒนาทักษะในการทดลองเท่านั้น
แต่ให้ผู้เรียนเกิดความพึงพอใจในประโยชน์ที่วิทยาศาสตร์มีต่อมนุษย์ชาติอีกด้วย
ข. ระดับโครงสร้าง (Organizational Level)
หมายถึง การจัดให้เนื้อหาในแต่ละวิชาเอื้อประโยชน์ต่อกันและกัน
และเกิดประโยชน์ต่อวิชาอื่นๆ ด้วย
เป็นการจัดที่เพ่งเล็งที่เนื้อหาไม่ใช่ตัวบุคคลเหมือนกับระดับความคิด
ดังนั้นผู้จัดจะดูว่า
เนื้อหาของแต่ละวิชานั้นจะเชื่อมโยงและอำนวยประโยชน์แก่วิชาอื่นอย่างไร
ตัวอย่างเช่น การอ่านในวิชาภาษาไทยจะกำหนดเนื้อหาให้มีเรื่องเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์
และสังคมศึกษาอยู่ด้วย เป็นต้น
วิธีการจัดโดยโยงเนื้อหาเข้าด้วยกันนี้
ทำให้เกิดหลักสูตรสัมพันธ์วิชา (The Correlated Curriculum)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น