ไทเลอร์ (Tyler)
มีแนวคิดเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงผู้เรียนในการกำหนดความมุ่งหมายของหลักสูตร
และใช้ในสังคมปัจจุบันเป็นพื้นฐาน
โดยพิจารณาจากกฎเกณฑ์ของสังคมความต้องการทางด้านความสงบสุข
กฎเกณฑ์และกฎหมาย ระเบียบแบบแผน
รูปแบบและความประพฤติของแต่ละครอบครัว
การแต่งกาย ความประพฤติและการพูดจา
ไทเลอร์ได้กระตุ้นให้คิดถึงบทบาทของนักพัฒนาหลักสูตรในการใช้สิ่งดังกล่าว
เพื่อประโยชน์ในการพัฒนาหลักสูตรและการสอน
ในเรื่องการประเมินผล
ไทเลอร์ชี้ให้เห็นว่าจะต้องสอดคล้องกับความมุ่งหมายที่กำหนดไว้
ปรัชญาการพัฒนาหลักสูตรของไทเลอร์ คือ
การเรียนรู้เป็นการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้เรียน
และครูจะกำหนดจุดประสงค์อย่างไรให้สนองความต้องการของบุคคล
ไทเลอร์ได้กล่าวว่า
การพัฒนาหลักสูตรเป็นความจำเป็นที่จะต้องกระทำอย่างมีเหตุผลและอย่างมีระบบโดยได้พยายามที่จะอธิบาย
“…..เหตุผลในการมอง การวิเคราะห์และการตีความหลักสูตร
และโปรแกรมการเรียนการสอนของสถาบันการศึกษา”
ต่อจากนั้นยังได้โต้แย้งอีกด้วยว่าในการพัฒนาหลักสูตรใด ๆ จะต้องตอบคำถาม
4 ประการคือ
1. ความมุ่งหมายอะไรทางการศึกษาที่โรงเรียนควรจะแสวงหาเพื่อที่จะบรรลุความมุ่งหมายนั้น
2. ประสบการณ์ทางการศึกษาคืออะไรที่จะสามารถจัดเตรียมไว้เพื่อให้บรรลุผลตามความมุ่งหมายเหล่านั้น
(กลยุทธ์การเรียนการสอนและเนื้อหาวิชา : Instructional strategies and
content)
3. ประสบการทางการศึกษาเหล่นี้จะจัดให้มีประสิทธิภาพได้อย่างไร
(การจัดประสบการณ์เรียนรู้: Organizing learning experiences)
4. เราจะสามารถตัดสินได้อย่างไร ว่าความมุ่งหมายเหล่านั้นได้บรรลุผลแล้ว (การประเมินสถานการณ์และการประเมินผล:
Assessment and evaluation)
ไทเลอร์ได้รับการขนานนามว่าเป็นบิดาของการเคลื่อนไหวทางหลักสูตร
แบบจำลองการพัฒนาหลักสูตรของไทเลอร์ เป็นที่รู้จักกันดี ตั้งแต่ปี
ค.ศ.1949
โดยไทเลอร์ได้เขียนหนังสือชื่อ Basic Principles
of Curriculum and
nstruction
และได้พิมพ์ซ้ำซากถึง 32 ครั้ง โดยในครั้งล่าสุดพิมพ์เมื่อ ค.ศ.1974
ไทเลอร์ได้แสวงหาวิธีการที่จำเพาะของนิสัยของผู้พัฒนาหลักสูตรให้มีเหตุผล
มีระบบและวิธีการให้ความหมายให้มากขึ้นเกี่ยวกับภาระงาน
ปัจจุบันนักเขียนทางหลักสูตรจำนวนมากให้ความสนใจน้อยลง
เพราะธรรมชาติที่ไม่ยืดหยุ่นในแบบจำลองจุดประสงค์ของไทเลอร์
อย่างไรก็ตามบางเวลางานของไทเลอร์ ได้รับการตีความผิดๆ
ให้ความสนใจน้อยและบางครั้งเพิกเฉยที่จะให้ความสนใจ เช่น
บราดี้ (Brady) อ้างถึงคำถามสี่ประการข้างต้น
และแนะนำว่าขั้นตอนทั้งสี่บางครั้งจำทำให้ดูง่ายขึ้นถ้าอ่านว่า จุดประสงค์
เนื้อหา วิธีการ และการประเมินผล
ไทเลอร์ได้เน้นถึงประสบการณ์ในการเรียนรู้ในคำถามข้อที่สองคือ
“….ปฏิกิริยาระหว่างผู้เรียนและสถานการณ์ในสิ่งแวดล้อมภายนอกซึ่งสามารถกระทำได้”
เช่นเดียวกัน
ผู้เขียนตำราบางคนได้แย้งว่า
ไทเลอร์ไม่ได้อธิบายแหล่งที่มาของจุดประสงค์อย่างเพียงพอ
ไทเลอร์ได้อุทิศครึ่งหนึ่งของหนังสือที่เขียนให้กับเรื่องจุดประสงค์โดยได้พรรณนาและวิเคราะห์แหล่งที่มาของจุดประสงค์จากผู้เรียน
การศึกษาชีวิตในปัจจุบันการศึกษาวิชาต่างๆ จากสถานศึกษา
ศึกษาปรัชญาและจิตวิทยาการเรียนรู้อันที่จริงแล้วไทเลอร์
เป็นผู้มีเหตุผลอย่างสำคัญยิ่งต่อผู้พัฒนาหลักสูตรและผู้เขียนวรรณกรรมทางด้านนี้
เมื่อ 30 ปีที่แล้วแบบจำลองกระบวนการหลักสูตรของไทเลอร์ดังภาพประกอบ
13
ซึ่งเป็นไดอาแกรมการแนะนำ
โดยที่ไทเลอร์เห็นว่าภาระงานของการพัฒนาหลักสูตรเป็นการแก้ปัญหาที่มีเหตุผลและมีขั้นตอนตามคำถามสี่ข้อที่กล่าวแล้ว
เมื่อมีการกำหนดจุดประสงค์
ก็จะสามารถเลือกประสบการณ์เรียนรู้ที่เหมาะสมที่ต้องการ
การจัดการที่มีประสิทธิภาพ ขั้นสุดท้ายของกระบวนการของไทเลอร์ คือ
การตัดสินว่ามีความสำเร็จตามจุดประสงค์หรือไม่
ไทเลอร์กล่าวว่าเป็นความจำเป็นที่ต้องนิยามความมุ่งหมาย (จุดประสงค์)
ให้กระจ่างเมื่อมีการพัฒนาหลักสูตร
การกำหนดจุดประสงค์ต้องการความคิดที่รอบคอบและพิจารณาแรงขับหลากหลายที่มีอิทธิพลต่อผู้เรียน
เช่น
สังคม รายวิชา ปรัชญา
และอื่นๆ
ในเวลาเดียวกันจุดประสงค์จะลายเป็นพื้นฐานที่มีประสิทธิภาพในการเลือกประสบการณ์ที่เหมาะสมตลอดจนการประเมินผลแต่ละขั้นตอนจะเป็นไปอย่างมีเหตุผล
ขั้นตอนทุกขั้นขึ้นอยู่กับจุดประสงค์ที่ได้กำหนดไว้อย่างระมัดระวัง
ในขั้นของการประเมินผลก็ใช้จุดประสงค์เป็นฐานสำหรับเทคนิคการประเมินที่เหมาะสมที่จะชี้ว่าได้รับความสำเร็จตามจุดประสงค์อย่างกว้างขวางเพียงใด
แบบจำลองของไทเลอร์ ให้ความสนใจกับระยะของการวางแผน
และจากเหตุผลข้างต้น
ทำให้นักการศึกษาทั่วไปเรียกแบบจำลองของไทเลอร์ว่า
“แบบจำลองเชิงเหตุผล (The Tyler
rationale model)
ซึ่งเป็นกระบวนกานในการเลือกจุดประสงค์ทางการศึกษาที่เป็นที่รู้จักและถือปฏิบัติในแวดวงของหลักสูตร
และไทเลอร์ได้เสนอแบบจำลองสำหรับการพัฒนาหลักสูตรที่ค่อนข้างจะเป็นที่เข้าใจในส่วนแรกของแบบจำลอง
(การเลือกจุดประสงค์) ซึ่งได้รับความสนใจเป็นอย่างมากจากนักการศึกษาอื่นๆ
ไทเลอร์ได้แนะนำให้ผู้พัฒนาหลักสูตรระบุจุดประสงค์ทั่วไปโดยรวบรวมข้อมูลจากสามแหล่งคือ ผู้เรียน
(learners)
ชีวิตภายนอกโรงเรียนในช่วงเวลานั้น (contemparry life
outside the school) และเนื้อหาวิชา (subject matter)
ภายหลังจากที่ได้ระบุจุดประสงค์ทั่วไปแล้ว
ผู้วางแผนหลักสูตรก็กลั่นกรองจุดประสงค์เหล่านั้นผ่านเครื่องกรองสองชนิดคือ
ชนิดแรกเป็นปรัชญาการศึกษาและปรัชญาทางสังคมของโรงเรียน
ชนิดหลังเป็นจิตวิทยาการเรียนรู้
จุดประสงค์ทั่วไปที่ประสบความสำเร็จด้วยการผ่านการกลั่นกรองจากเครื่องกรองทั้งสองชนิดจะกลายเป็นจุดประสงค์การเรียนการสอนที่มีความหมายเฉพาะเจาะจงขึ้น
ในการพรรณนาจุดประสงค์ทั่วไป ไทเลอร์จะอ้างถึง “เป้าประสงค์
(goal)”
“จุดประสงค์ทางการศึกษา (educational objectives)” และ
“ความมุ่งหมายทางการศึกษา (educational purposes)”
แหล่งข้อมูลนักเรียน (Student as source)
ผู้ปฏิบัติงานหลักสูตรเริ่มต้นเสาะหาจุดประสงค์ทางการศึกษาโดยรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลที่สอดคล้องกับความต้องการจำเป็นและความสนใจของนักเรียน
ความต้องการจำเป็นกว้างๆ โดยส่วนรวมได้แก่
ความต้องการจำเป็นด้านการศึกษา สังคม
อาชีพ ร่างกาย จิตใจ
และนันทนาการ จะได้รับการหยิบยกขึ้นมาศึกษา
ไทเลอร์เสนอแนะให้ครูเป็นผู้สังเกต
สัมภาษณ์นักเรียน สัมภาษณ์บิดามารดา ออกแบบสอบถาม
และใช้การทดสอบเป็นเทคนิคในการเก็บรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับนักเรียน
โดยการตรวจสอบความต้องการจำเป็นและความสนใจของนักเรียน
นักพัฒนาหลักสูตรต้องระบุชุดของจุดประสงค์ที่มีศักยภาพ
แหล่งข้อมูลทางสังคม (Society
as source)
การวิเคราะห์ชีวิตความเป็นอยู่ในปัจจุบันของทั้งชุมชนในท้องถิ่นและสังคม
ส่วนใหญ่จะเป็นขั้นตอนต่อไปในกระบวนการของของการกำหนดจุดประสงค์ทั่วไป
ไทเลอร์แนะนำว่าผู้วางแผนหลักสูตรควรพัฒนาแผนการจำแนกแบ่งชีวิตออกมาในหลายๆ
ลักษณะ
เช่น ด้าน สุขภาพ
ครอบครัว นันทนาการ อาชีพ
ศาสนา การบริโภค และบทบาทหน้าที่พลเมือง
จากความต้องการของสังคมทำให้เราได้จุดประสงค์เกี่ยวกับความต้องการจำเป็นของสถาบันทางสังคม
หลังจากที่ได้พิจารณาแหล่งข้อมูลที่สองแล้ว ผู้ปฏิบัติหลักสูตร (Curriculum worker) สามารถที่จะขยายหรือเพิ่มเติมจุดประสงค์ได้
แหล่งข้อมูลด้านเนื้อหาวิชา
(Sujiect
matter as source)
สำหรับข้อมูลที่สามนักวางแผนหลักสูตรต้องหันกลับไปพิจารณาเนื้อหาวิชา สาขาวิชาของตัวเอง
นวัตกรรมหลักสูตรจำนวนมาก ในปี ค.ศ.1950-คณิตศาสตร์แผนใหม่ โปรแกรมวิทยาศาสตร์ ได้มาจากผู้เชี่ยวชาญด้านเนื้อหาวิชา
จากข้อมูลสามแหล่งที่กล่าวถึงนี้ผู้พัฒนาหลักสูตรก็จะได้จุดประสงค์ทั่วไป หรือจุดประสงค์กว้างๆ ซึ่งขาดความชัดเจน ซึ่งโอลิวา
(Oliva)
มีความชอบมากที่เรียกว่าเป้าประสงค์ของการเรียนการสอน (instructional goals) เป้าประสงค์เหล่านี้อาจตรงกับสาชาวิชาที่เฉพาะเจาะจง
จอห์นสัน (Johnsan)
มองสิ่งเหล่านี้ด้วยสายตาที่แตกต่างออกไป
กล่าวคือ จอห์นสันได้แนะนำว่า “แหล่งที่เป็นไปได้ (ของหลักสูตร)
คือวัฒนธรรมทั้งหมดที่มีอยู่เป็นส่วนรวม”
และมีแต่เพียงเนื้อหาสาระที่เรียบเรียงไว้อย่างดี
นั่นคือ
สาขาวิชาเหล่านั้นที่จะได้รับการพิจารณาว่าเป็นแหล่งข้อมูลของหลักสูตรไม่ใช่ความต้องการจำเป็นและความสนใจของผู้เรียนหรือค่านิยมและปัญหาสังคม
เมื่อมีการกำหนดจุดประสงค์ที่พิจารณาว่าความเป็นไปได้ที่จะนำไปใช้แล้ว
จำเป็นต้องมีกระบวนการกลั่นกรองอีกขั้นหนึ่งตามแบบจำลองของไทเลอร์
เพื่อที่จะขจัดจุดประสงค์ที่ไม่มีความสำคัญและขัดแย้งกันออกไปโดยแนะนำให้ใช้ปรัชญาการศึกษาของโรงเรียนเป็นตะแกรงแรกสำหรับกลั่นกรองเป้าประสงค์
ปรัชญา (Philosophical screen) เหล่านี้ ไทเลอร์แนะนำครูของแต่ละโรงเรียนให้กำหนดปรัชญาการศึกษาและปรัชญาสังคมขึ้นมา
โดยผลักดันให้ครูวางเค้าโครงค่านิยมและภาระงานนี้ออกมาด้วยการเน้นเป้าประสงค์สี่ประการคือ
1. การยอมรับความสำคัญของบุคคลในฐานะทางชาติพันธุ์วรรณาเชื้อชาติสังคมหรือเศรษฐกิจ
2. โอกาสสำหรับการมีส่วนร่วมอย่างกว้างขวางในธุรกิจระยะของกิจกรรมในกลุ่มสังคมและในสังคม
3. การส่งเสริมให้มีบุคลิกภาพที่หลากหลายค่อนข้างจะมากกว่าที่ส่งเสริมให้มีบุคลิกภาพที่เป็นแบบเดียวกันทั้งหมด
4.
ความศรัทธาในเชาวน์ปัญญาว่าเป็นเสมือนวิธีการในการแก้ปัญหาสำคัญๆ
ค่อนข้างจะมีมากกว่าการขึ้นอยู่กับอำนาจของกลุ่มประชาธิปไตยหรือกลุ่มเจ้าขุนมูลนาย
ในคำอภิปรายเกี่ยวกับการกำหนดปรัชญาสังคม
ไทเลอร์พยายามที่จะทำให้โรงเรียนเป็นบุคคลโดยกล่าวว่า ปรัชญาการศึกษาและปรัชญาสังคมเป็นข้อผูกพันและต้องการกระทำตาม
เมื่อโรงเรียนยอมรับค่านิยมเหล่านี้
หลายโรงเรียนมักจะกล่าวว่า และ
ถ้าโรงเรียนเชื่อ
ดังนั้นไทเลอร์จึงทำให้โรงเรียนมีลักษณะเป็นพลวัตและมีชีวิต (dynamic living entity) ผู้ทำงานเกี่ยวกับหลักสูตร (curriculum worker) จะทบทวนรายการของจุดประสงค์ทั่วไปและไม่ให้ความสนใจกับจุดประสงค์ที่ไม่สอดคล้องกับปรัชญาที่ได้ตกลงกันไว้กับคณะทำงาน
จิตวิทยา
(Psychological
screen) การประยุกต์ใช้จิตวิทยา
เป็นขั้นตอนต่อไปของแบบจำลองของไทเลอร์
ในการใช้นี้
ครูต้องทำความกระจ่างกับหลักการเรียนรู้ ซึ่งเชื่อว่าดี
ไทเลอร์กล่าวว่าจิตวิทยาการเรียนรู้ไม่เพียงแต่จะรวมถึงข้อค้นพบที่ชี้เฉพาะและแน่นอนเท่านั้นแต่ยังเกี่ยวข้องกับการสร้างทฤษฎีการเรียนรู้ที่ช่วยในการกำหนดเค้าโครง
(outline)
ธรรมชาติของกระบวนการเรียนรู้ว่าเกิดขึ้นได้อย่างไรภายใต้เงื่อนไขอะไร
ใช้กลไกอะไรในการปฏิบัติงาน และอื่นๆ
ในลักษณะที่คล้ายคลึงกันการประยุกต์ใช้นี้อย่างมีประสิทธิภาพจำเป็นต้องมีการฝึกหัดอย่างเพียงพอในด้านจิตวิทยาการศึกษาความเจริญเติบโตและพัฒนาการของมนุษย์
โดยผู้ที่รับผิดชอบเกี่ยวกับภาระงานของการพัฒนาหลักสูตรจะเป็นผู้ดำเนินการฝึกให้ไทเลอร์ได้อธิบายความสำคัญของจิตวิทยาดังนี้
1.
ความรู้ทางจิตวิทยาการเรียนรู้สามารถทำให้เราแยกความต่างของการเปลี่ยนแปลงของมนุษย์ที่เป็นกระบวนการเรียนรู้ที่คาดหวังผลออกจากการเปลี่ยนแปลงที่ไม่ได้เป็นกระบวนการเรียนรู้ที่คาดหวัง
2.
ความรู้ในจิตวิทยาการเรียนรู้สามารถทำให้เราแยกความต่างในเป้าประสงค์ที่มีความเป็นไปได้ออกจากเป้าประสงค์ที่ต้องการใช้เวลานานหรือเกือบจะเป็นไปไม่ได้ที่จะบรรลุผลสำเร็จในระดับอายุที่มีการตรวจสอบและรับรองแล้ว
3. จิตวิทยาการเรียนรู้ให้ความคิดบางอย่างแก่เรา
เกี่ยวกับระยะเวลาที่ใช้ในการบรรลุจุดประสงค์และระดับอายุที่ต้องใช้ความพยายามให้มีประสิทธิภาพสูงสุด
หลังจากผู้วางแผนหลักสูตรได้ประยุกต์ใช้ที่สองแล้วก็จะมีการลดรายการวัตถุประสงค์ทั่วไปลงปล่อยให้เหลือไว้เฉพาะจุดประสงค์ที่มีความสำคัญที่สุดและมีความเป็นไปได้มากที่สุด
หลังจากนั้นต้องระมัดระวังในการที่จะกล่าวจุดประสงค์ออกมาในรูปของจุดประสงค์พฤติกรรม
ซึ่งจะกลายมาเป็นจุดประสงค์ของการเรียนการสอนในชั้นเรียนไทเลอร์ไม่ได้ใช้
ไดอาแกรมในการพัฒนากระบวนการที่ได้เสนอแนะไว้
อย่างไรก็ตามโพแฟมและเบเกอร์ (Popham and Baker) ได้อธิบายแบบจำลองของไทเลอร์
มีเหตุผลหลายประการที่รออภิปรายเกี่ยวกับแบบจำลองไทเลอร์มักจะหยุดอยู่ที่การตรวจสอบส่วนแรกของแบบจำลอง-เหตุผลในการเลือกจุดประสงค์ทางการศึกษาโดยความเป็นจริงแล้วแบบจำลองไทเลอร์ยังมีขั้นตอนที่พรรณนาออกไปอีกสามขั้นตอนในการพัฒนาหลักสูตร
คือการเลือก การจัด
และการประเมินประสบการณ์การเรียนรู้โดยที่ไทเลอร์ได้นิยามประสบการณ์การเรียนรู้ว่าเป็น
ปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียนและเงื่อนไขภายนอกในสิ่งแวดล้อมที่ผู้เรียนสามารถสนองตอบได้
ไทเลอร์ได้แนะนำครูให้สนใจกับประสบการณ์การเรียนรู้ซึ่ง 1. จะพัฒนาทักษะในการคิด
2. จะช่วยให้ได้มาซึ่งข่าวสารข้อมูลตามที่ต้องการ 3. จะช่วยในการพัฒนาเจตคติทางด้านสังคมและ 4. จะช่วยพัฒนาความสนใจ
ไทเลอร์ได้อธิบายถึงการจัดประสบการณ์ให้เป็นหลายๆ
หน่วย และพรรณนาวิธีการประเมินผลต่างๆ อย่างหลากหลาย
และแม้ว่าไทเลอร์จะไม่ได้บอกถึงทิศทางของประสบการณ์การเรียนรู้
(หรือการใช้วิธีการเรียนรู้การสอน)
แต่เราก็สามารถอ้างได้ว่าการเรียนการสอนต้องเกิดขึ้นในระหว่างการเลือกและการจัดประสบการณ์การเรียนรู้และการประเมินผลสัมฤทธิ์ของนักเรียนจากประสบการณ์เหล่านี้
แบบจำลองที่ขยายแล้ว
(Expanded
model) อย่างไรก็ตามเราสามารถปรับปรุงไดอาแกรมแบบจำลองของไทเลอร์โดยขยายออกไปให้ครอบคลุม
ขั้นตอนต่างๆ ในกระบวนการวางแผนหลังจากที่ได้กำหนดจุดประสงค์การเรียนการสอนเฉพาะแล้ว
นั่นคือเพิ่มขั้นตอนของการเลือกประสบการณ์การเรียนรู้การจัดประสบการณ์การเรียนรู้
ทิศทางของประสบการณ์การเรียนรู้ และการประเมินประสบการณ์การเรียนรู้เข้าไปดังภาพประกอบ
15 แบบจำลองที่ขยายแล้ว
ในการอภิปรายเกี่ยวกับเหตุผลของไทเลอร์
และแทนเนอร์ (Tanne
and tanner) ชี้ว่า
องค์ประกอบหลักในเหตุผลของไทเลอร์มาจากการศึกษาพิพัฒนาการนิยมในระหว่างต้นทศวรรษของ ศรวรรษที่ 21
สิ่งหนึ่งที่เป็นสิ่งที่ยากในเหตุผลของไทเลอร์ตามทัศนะของแทนเนอร์ทั้งสอง
คือ
ไทเลอร์นำเสนอแหล่งข้อมูลทั้งสามโดยแยกออกจากกันไม่แสดงถึงปฏิสัมพันธ์ระหว่างกัน
ถ้านักวางแผนหลักสูตรพิจารณาว่าส่วนประกอบทั้งสามต้องแยกออกจากกัน
และไม่เข้าใจถึงปฏิสัมพันธ์ระหว่างกันของแหล่งทั้งสามการพัฒนาหลักสูตรก็จะกลายเป็นกระบวนการที่เน้นเชิงกลไกมากจนเกินอย่างไรก็ตามแทนเนอร์ทั้งสองได้บันทึกไว้ว่าจนถึงวันนี้
แบบของไทเลอร์ได้รับการอภิปลายอย่างกว้างขวางจากนักวิชาการหลักสูตรและเป็นจุดศูนย์รวม
(focus) ในสาขาของทฤษฎีหลักสูตรด้วย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น